5 รถยนต์ไฟฟ้าแห่งปี 2016
เมื่อปลายปีที่แล้ว Elon Musk บิ๊กบอสแห่ง Tesla เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5-10% ในแต่ละปี และเมื่อถึงปี 2020 เราอาจจะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกลกว่า 746ไมล์ (1,200 กิโลเมตร)ต่อการชาร์จครั้งเดียว เราลองมาสำรวจกันดีกว่าว่า ณ เวลานี้รถยนต์ไฟฟ้าตัวเจ๋งๆที่อยู่ในท้องตลาดมีรุ่นใดที่น่าสนใจบ้าง แม้มันยังเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะยามที่น้ำมันถูกลง
BMW i3
ราคา: เริ่มต้นที่ 25,680 ปอนด์
ระยะทาง : 120 ไมล์
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง : 7.2 วินาที
ยนตกรรมจากเยอรมนีจากค่ายนี้การันตีในเรื่องคุณภาพอยู่แล้ว มันมีแอพสำหรับ iPhone และ Android เพื่อให้งานให้สมกับเป็นยุค connected car สามารถเช็กปริมาณแบตเตอรี่และทำอะไรอีกมากมายจิปาถะได้จากปลายนิ้ว
Volkswagen e-Golf
ราคา: 25,000 ปอนด์
ระยะทาง : 118 ไมล์
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง : 10.4 วินาที
แหงๆ มันเป็นรถยนต์ที่คุณไม่ต้องเติมน้ำมันแน่ๆ และน่าจะถูกใจมือใหม่หัดขับหรือคนขี้เกียจเพราะความเสมือนรถยนต์ไร้คนขับ มันมีเซ็นเซอร์สำหรับการจอดด้วยตัวมันเอง ควบคุมความเร็วด้วยระบบเรดาร์
Tesla Model S P90D
ราคา: 85,700 ปอนด์
ระยะทาง : 300ไมล์
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง : 2.8 วินาที
ถ้าคุณคิดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะตอบสนองด้านความเร็วและพละกำลังไม่ได้ ก็คงต้องเลือกตัวนี้พร้อมกับการเสียเงินในกระเป๋าเพิ่มอีกหลายเท่า มันก็ไม่ต่างจากรถสปอร์ต โชคดีที่มันมอบระยะทางต่อการชาร์จครั้งเดียวได้ไกลมาก
Renault ZOE Dynamique Nav
ราคา: 15,045 ปอนด์
ระยะทาง : 130 ไมล์
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง : 8.4 วินาที
ค่ายรถจากฝรั่งเศสทำให้เจ้าตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในแง่ของความคุ้มค่า มันมีราคาย่อมเยากว่าตัวอื่นและวิ่งได้ระยะทางที่น่าพอใจ ติดเซ็นเซอร์กล้องหลังมาให้แล้ว แต่ถ้าอยากได้การชาร์จไฟที่เร็วขึ้นก็ต้องยอมจ่ายเพิ่มอีก 500 ปอนด์
Kia Soul EV
ราคา: 23,695 ปอนด์
ระยะทาง : 133 ไมล์
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง : 10.8 วินาที
ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 16 นิ้ว ทำให้มันไม่ต้องแบกน้ำหนักมาก ห้องโดยสารไม่แคบเมื่อเทียบกับขนาดรถ มันได้รับการพัฒนาด้านแอโรไดนามิกมากขึ้น ในรถติดตั้งระบบนำทางเพื่อที่จะไปยังสถานีชาร์จไฟใกล้ที่สุดอีกด้วย
นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 5 คันที่กล่าวมายังมีอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจทั้ง Nissan Leaf (19,490 ปอนด์) หรือ Mitsubishi i-MiEV (28,499 ปอนด์) ซึ่งก็คงบ่งบอกว่ายังมีอีกตลาดค่ายรถกำลังต่อสู้และห้ำหั่นกันอยู่ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษก็พยายามสนับสนุนรถดังกล่าวเพื่อเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมโดยมีจุดชาร์จแบตเตอรี่ทั่วประเทศมากถึง 6,000 จุดแล้ว